วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องที่2 ความมีวินัยในการทำงาน

วินัยในการทำงาน
7
                                                                                                                                 
     วินัยเป็นกฎกติกาของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งกำหนดขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเครื่องมือที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย สำหรับวินัยในการทำงาน หมายถึง คำสั่ง ระเบียบ หรือข้อบังคับที่นายจ้างกำหนดขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติและควบคุมการทำงานของลูกจ้าง ให้สามารถทำงานให้แก่นายจ้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นกติกาที่จะทำให้ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติตามเพื่อให้การทำงานและอยู่ร่วมกันเป็นไปได้อย่างราบรื่น

ผู้มีอำนาจและการกำหนดวินัยในการทำงาน


     เจ้าของสถานประกอบการ หรือกรณีที่สถานประกอบการนั้นเป็นนิติบุคลก็หมายถึง ผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย เป็น "นายจ้าง" ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดวินัย ทั้งนี้การกำหนดวินัยนั้นจะต้องเหมาะสมและอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมาย กล่าวคือ
     1. ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
     2. ไม่ก้าวล้ำเข้าไปในสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้าง
     3. เป็นข้อปฏิบัติที่สามารถเข้าใจและปฏิบัติได้
     4. จะต้องไม่ขัดแย้งกับสัญญาจ้างหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
                                                                                                                             
ประเภทของวินัย

ประเภทของวินัยโดยทั่วไป สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
     1. วินัยพื้นฐาน หมายถึงข้อควรประพฤติหรือข้อควรละเว้นสำหรับลูกจ้างที่ดีทั่วไป ซึ่งวินัยประเภทนี้ใช้ได้กับสถานประกอบการทุกประเภท
     2. วินัยเฉพาะตำแหน่ง หมายถึง ข้อควรประพฤติหรือหรือข้อควรละเว้นกำหนดไว้เป็นพิเศษสำหรับลูกจ้างผู้ปฏิบัติหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับลูกจ้างซึ่งปฏิบัติหน้าที่อื่น
     3. วินัยเฉพาะกิจ หมายถึง ข้อควรประพฤติหรือข้อควรละเว้นสำหรับลูกจ้างเฉพาะกิจที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากกิจการอื่น ซึ่งถ้ามีความประพฤติเช่นนั้นแล้วอาจทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่กิจการนั้น ๆ ได้

บทที่5 เรื่องที่1 ความมีวินัยในตงเอง

วินัยในตนเอง


วินัยในตนเอง  
 หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมอารมณ์และพฤตกรรมของตนเองให้เป็นไปตามที่ตนมุ่งหวัง โดยเกดจากการสำนึกขึ้นมาเอง ทั้งนี้จะตองไม่กระทําการใดๆ อันจะเกิดความยุ่งยากแก่ตนเองในอนาคต แต่จะต้องกอให้เกิดความเจริญต่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ขัดต่อระเบียบของสังคมและศีลธรรม มีความตั้งใจ และมั่นใจในพฤติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อตนเองและสังคม
IMG_9425
ความสำคัญของการมีวินัยในตนเอง
 1.ถ้าไม่มีวินัยในตนเองชวีตก็จะสับสนยุ่งเหยิง สังคมจะวุ่นวาย ระส่ําระสาย ทําลายโอกาสในการที่จะดําเนินชีวิตที่ดีงามและโอกาสในการพัฒนาตนเองของทุกคน
2.วินันในตนเอง เป็นองค์ประกอบหนึ่งของลักษณะชีวิตที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการประสบความสําเร็จอย่างยั่งยืนในชีวิต เราจะไม่สามารถนําชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงามได้จนกว่าจะตั้งอยู่บนวินัย
วินัยสร้างความรับผิดชอบ
3.วินัยสร้างระเบียบแบบแผน วินัยสร้างคนให้เป็นคนดี วินัยสร้างคนใหเป็นคนเก่ง ดังนั้น วินัยจึงเป็นเรื่องสําคัญ เราจําเป็นต้องสร้างวินัยใหแก่มนุษย์ตั้งแต่เด็ก
4. สำหรับการจัดการศึกษา ความมีจึงเป็นสิ่งงสําคัญที่ครูผู้สอนต้องให้ความสําคัญ ในการส่งเสริมให้เกิดขึ้นในวัยเด็ก ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้นักเรียนเห็นคุณ ค่าของความมีวินัยในตนเอง เพื่อความสุขและความสําเร็จของตนเองและสังคม ดังนนการทำจะใหเกิดวนิัยขึ้นในหมู่คณะ
ไม่ว่าจะเป็นวินัยด้านใด ก็ตามล้วนแต่มีความสําคัญและจําเป็นต่อการอยู่ร่วมกนในสังคม หากแตว่าวินยในตนเองนั้นเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การมีวินัยในสังคมและประเทศชาติต่อไป
IMG_7772
ความจำเป็นที่ต้องมีระเบียบวินัยในตนเอง
1. วินัยช่วยให้ตนเองเป็นผู้ที่มีระเบียบเรียบร้อย
2. วินัยช่วยให้มีความสามัคคีปรองดองในกลุ่มคน
3. วินัยมีส่วนช่วยให้ประสบความสําเร็จในชีวิต
4. วินัยช่วยให้ทุกคนรู้จักควบคุม และปกครองตนเองตามหลักประชาธิปไตย หรือ
มีวินยสำหรับตนเอง
5. ช่วยให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม
ดังนั้นหากเพียรพยายามสร้างระเบียบวินัยในชีวิตของแต่ละคนได้ ท้ายที่สุดเมื่อคนในสังคม คนในประเทศมีลักษณะชีวิตที่มีระเบยบวินัยแล้ว นอกจากตนเองจะก้าวสู่ความสําเร็จแล้ว ยังสามารถพัฒนาสังคมให้มีระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนประเทศชาติให้ทัดเทียมกับอารยประเทศด้วย

เรื่องที่3 การแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

การจัดการความขัดแย้งและการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี

การจัดการความขัดแย้งและการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี
ปัจจุบันสภาพสังคมเกิดความแตกแยก คนจำนวนมากอยู่ร่วมกับคนที่มีความเห็นต่างกันไม่ได้ จึงเกิดความขัดแย้งกัน หากเราเข้าใจความขัดแย้ง เราสามารถเรียนรู้หรือแก้ไขความขัดแย้งได้ แต่สิ่งที่ท้าทายก็คือการนำหลักความร่วมมือกันมาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ของมวลมนุษย์และสันติวิธี
ความขัดแย้ง    หมายถึง  การกระทำที่ไม่ลงรอย ขัดขืนหรือคัดค้านกัน  ความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างกลุ่มมนุษย์ เดิมสังคมไทยมีความขัดแย้งน้อย เนื่องจากมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การมีทรัพยากร ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องแข่งขันกันมากนัก ต่อมาสมาชิกในสังคมได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ของประชาชนเป็นแบบทางการ โดยใช้หลักนิติธรรม ประกอบกับเกิดความแตกต่างทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และทางด้านสังคมวัฒนธรรม จึงนำไปสู่การเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นในสังคม
ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นระหว่างบุคคล หรือกลุ่มคนซึ่งอาจมีมาจากหลายสาเหตุหลายปัจจัย ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายลักษณะ เช่น การทะเลาะวิวาท ความคิดเห็นไม่ตรงกัน
๑) การทะเลาะวิวาท เป็นลักษณะของความขัดแย้งที่เริ่มต้นด้วยการโต้เถียงด้วยความโกรธ การมีปากเสียงกัน เมื่อต่างฝ่ายไม่ยอมกันก็จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง โดยใช้กำลังเข้าประทุษร้าย ทำร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งปัจจุบันในสังคมไทยการทะเลาะวิวาทเป็นปัญหาความขัดแย้งในกลุ่มของเยาวชนและกลุ่มวัยรุ่นกันมากขึ้น อาจมีหลายสาเหตุ ซึ่งการทะเลาวิวาทล้วนส่งผลเสียทั้งร่างกายและจิตใจและส่งผลกระทบต่อคนในสังคมรอบข้างที่ได้รับความเดือดร้อน มีความรู้สึกกังวลในความไม่ปลอดภัยในชีวิต สังคมโดยรอบเกิดความไม่สงบ
๒) ความเห็นไม่ตรงกัน  เป็นลักษณะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคล ระหว่างกลุ่มคน เนื่องจากความคิดที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องราว การกระทำหรือจุดประสงค์ และเนื่องจากมีความคิดในเรื่องราวการกระทำหรือจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป โดยต่างฝ่ายไม่ยอมรับความคิดของอีกฝ่ายซึ่งความขัดแย้งลักษณะนี้เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย เพราะทุกคนต่างพากันอ้างสิทธิและเสรีภาพ จนนำไปสู่ความแตกสามัคคีของคนในชุมชน สังคมและประเทศชาติ ซึ่งส่งผลต่อความรุ่งเรือง และการพัฒนาประเทศโดยรวม
การแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี
สันติวิธี  คือมุมมองในการจัดการกับความขัดแย้งที่ยึดมั่นในวิถีแห่งสันติ โดยปฏิเสธวิธีการใช้ความรุ่นแรงทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการไม่ตอบโต้อีกฝ่ายโดยใช้ความรุนแรง แม้ว่าจะถูกกระทำด้วยความรุนแรง แม้ว่าจะถูกกระทำด้วยความรุนแรงก็ตาม
สันติวิธีไม่ใช่ความเฉื่อยชา หรือการอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร แต่เป็นการกระทำที่ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อรับมือกับความขัดแย้งที่เผชิญอยู่ แต่สันติวิธีเป็นวิธีที่เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและมีความสุข แนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีสามารถทำให้ได้หลายวิธี ได้แก่ การเจรจาติอรอง การไกล่เกลี่ย และการระงับความขัดแย้ง
๑) การเจรจาต่อรอง  คือ กระบวนการที่สองคนหรือมากกว่าสองคน เจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ระหว่างกัน ซึ่งอาจเป็นวัตถุสิ่งของหรือบริการก็ได้ โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามหาข้อยุติที่ยอมรับร่วมกัน การเจรจาต่อรองจึงเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
๒) การไกล่เกลี่ย คือกระบวนการยุติธรรมหรือระงับข้อพิพาท หรือความขัดแย้งด้วยความตกลงยินยอมของคู่ความเอง โดยที่มีบุคคลทีสามมาเป็นคนกลางคอยช่วยเหลือแนะนำ เสนอแนะหาทางออกในการยุติหรือระงับข้อพิพาทให้คู่ความต่อรองกันได้สำเร็จ

เรื่องที่2 การอยู่ร่วมในสังคมพหุวัฒนธรรม

การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม

  1. 1. การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม โดย อาจารย์ชนากานต์ โสจะยะพันธ์
  2. 2. การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม  ปัจจุบันสังคมไทยเข้าสู่ความเป็นพหุสังคมมากขึ้น การอยู่ร่วมกันของ บุคคลที่มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี รวมทั้งทัศนคติความเชื่อ อาจนามาซึ่งความไม่เข้าใจกันได้  ดังนั้น การเรียนรู้เพื่อยอมรับในความแตกต่างและความหลากหลายของ สังคมพหุวัฒนธรรมจาเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยควรเรียนรู้ เพื่อการอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ
  3. 3. การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม  การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข หมายถึง การที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็น สังคม สามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันในรูปของกฎระเบียบ หรือกฎหมาย และมีคุณธรรม จริยธรรมในการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การ มีส่วนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของสังคม เช่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเมืองการปกครอง เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แสดงกิริยาและวาจาดู หมิ่นผู้อื่น และการปฏิบัติตามคุณธรรมของการอยู่ร่วมกันตามหลัก ศาสนาที่ตนเองนับถือ จะทาให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สุข
  4. 4. การเคารพกฎเกณฑ์  เป็นหลักการพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมโดยปกติสุข ไม่ ว่าจะเป็นสังคมใดหรือประเทศใด การอยู่ร่วมกันของผู้คนเป็นจานวน มากในสังคมต้องอาศัยกฎระเบียบกติกาของสังคม ซึ่งคนในสังคมนั้นๆ จาต้องเรียนรู้กฎกติกาของสังคม พร้อมทั้งต้องมีความรับผิดชอบต่อ สังคมส่วนรวมนั่นคือ ต้องยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาทาง สังคม การอบรมสมาชิกในสังคมให้เกิดการเรียนรู้กฎเกณฑ์และกติกา ของสังคม คือ การถ่ายทอดวิถีชีวิตวัฒนธรรม และการทาให้สมาชิกใน สังคมนั้นสามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง
  5. 5. การเคารพกฎเกณฑ์  ซึ่งในสังคมที่ได้มีการจัดระเบียบอย่างดีแล้วนั้น การอบรมให้เรียนรู้ กฎเกณฑ์ของสังคมเป็นกระบวนการที่จะต้องกระทา เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงผู้ใหญ่ การเข้าไปมีส่วนร่วมในรูปของสังคมใหม่และสถาบันใหม่ สมาชิกในสังคมก็จะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ใหม่และยอมรับค่านิยมใหม่ และในขณะ เดียวกันที่พ่อแม่ครอบครัวก็ต้องทาหน้าที่เป็นตัวหลักที่ สาคัญในการเลี้ยงดูเด็ก เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในการเคารพกฎเกณฑ์ของ สังคม เพื่อให้การดารงชีวิตอยู่ของสมาชิกในสังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างมี ความสุข
  6. 6. การเคารพซึ่งกันและกัน  การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่มีรัฐธรรมนูญเป็น แม่บทกาหนดกรอบให้ทุกภาคส่วนของสังคมยึดถือและปฏิบัติร่วมกัน โดยกรอบที่สาคัญในการดารงตนอย่างเหมาะสมของประชาชน คือการ ยึดมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกาหนด หาก ประชาชนทุกคนรู้ถึงสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และต่างปฏิบัติได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ประชาชนในชาติย่อมอยู่ร่วมกัน อย่างมีความสุข และชาติบ้านเมืองก็จะพัฒนาและเจริญก้าวหน้าได้ อย่างรวดเร็ว
  7. 7. การเคารพซึ่งกันและกัน  การปฏิบัติตนตามสิทธิของตนเองและผู้อื่นในสังคม เป็นสิ่งที่ช่วยจัด ระเบียบให้กับสังคมสงบสุข โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1. เคารพสิทธิของกันและกัน โดยไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น สามารถแสดงออกได้หลายประการ เช่น การแสดงความคิดเห็น การ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เป็นต้น 2. รู้จักใช้สิทธิของตนเองและแนะนาให้ผู้อื่นรู้จักใช้สิทธิของ ตนเอง
  8. 8. การเคารพซึ่งกันและกัน 3. เรียนรู้และทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสิทธิเสรีภาพตามที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น สิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพในเคหสถาน เป็นต้น 4. ปฏิบัติตามหน้าที่ของชาวไทยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น การออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง การเสียภาษีให้รัฐเพื่อนาเงินมาพัฒนา ประเทศ เป็นต้น
  9. 9. การเคารพซึ่งกันและกัน  ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติตนเคารพสิทธิขอองตนเองและผู้อื่น 1. ผลที่เกิดกับประเทศชาติ หากประชาชนมีความสมัครสมาน รักใคร่สามัคคี ไม่มีความแตกแยก ไม่แบ่งเป็นพวกเป็นเหล่า บ้านเมืองก็ จะสงบสุขเกิดสวัสดิภาพ บรรยากาศโดยรวมก็จะสดใส ปราศจากการ ระแวงต่อกัน การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆสามารถดาเนินไปอย่างราบรื่น นักลงทุน นักท่องเที่ยวก็จะเดินทางมาเยือนประเทศของเราด้วยความ มั่ น ใ จ
  10. 10. 2. ผลที่เกิดขอึ้นกับชุมชนหรือสังคม เมื่อประชาชนในสังคมรู้จัก สิทธิของตนเอง และของคนอื่น ก็จะทาพาให้ชุมชนหรือสังคมเกิดการ พัฒนา เมื่อสังคมมั่นคงเข้มแข็งก็จะมีส่วนทาให้ประเทศชาติเข้มแข็ง เพราะ ชุมชนหรือสังคมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศชาติบ้านเมืองโดยรวม 3. ผลที่เกิดขอึ้นกับครอบครัว ครอบครัวเป็นสถาบันแรกของ สังคม เมื่อครอบครัวเข้มแข็ง และอบรมสั่งสอนให้สมาชิกในครอบครัวทุก คนรู้บทบาท สิทธิ เสรีภาพของตนเองและปฏิบัติตามที่กฎหมายและ รัฐธรรมนูญได้ให้ความคุ้มครองได้อย่างเคร่งครัด โดยไม่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพของสมาชิกอื่นในสังคม ก็จะนาพาให้สังคมและประเทศชาติ เข้มแข็งตามไปด้วย การเคารพซึ่งกันและกัน
  11. 11. ไม่แสดงกิริยาและวาจาดูหมิ่นผู้อื่น  มารยาททางวาจาก็คือบุคลิกภาพที่ปรากฏในสังคมที่เกี่ยวกับการใช้ ถ้อยคาสาเนียงต่อบุคคลทั่วไป เช่นการใช้ถ้อยคาที่สุภาพ ไม่พูดเหยียด หยามผู้อื่น การใช้ว่าคาว่ากรุณาเมื่อต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น การกล่าวคาขอโทษเมื่อทาผิดพลาด การกล่าวคาขอบคุณเมื่อได้รับ ความช่วยเหลือ ไม่ส่งเสียงดังก่อความราคาญ ไม่พูดจาโอ้อวดตนเอง ใช้สาเนียงการพูดที่นุ่มนวลเป็นกันเอง ซึ่งมารยาททางวาจานี้มีผลให้คน ในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
  12. 12. ไม่แสดงกิริยาและวาจาดูหมิ่นผู้อื่น  ไม่ใช้วาจายุยงส่อเสียดให้ผู้อื่นแตกร้าว หรือระหองระแหงกัน ควรหลีก อย่างเด็ดขาด การสนทนาที่ดีย่อมไม่กล่าวถึงใครในแง่ร้าย ให้กล่าวถึง เรื่องที่ไม่พาดถึงบุคคลในทางที่จะทาให้เขาเสียหาย ควรพูดสนทนา ในทางที่จะเกิดความรู้  ไม่กล่าววาจาหยาบคายเสียดสีดูถูก หรือขัดคอผู้อื่น ไม่พูดจาดูถูก ข่มขู่ หรือก้าวร้าวผู้ฟัง จะทาให้ขัดเคืองกันและเป็นการน่าละอายสาหรับผู้ที่ แสดงวาจาเช่นนั้นออกมา แต่ควรพูดให้เกียรติ ยกย่อง หรือแสดงความ ชื่นชอบผู้ฟังด้วยความจริงใจ
  13. 13. ไม่แสดงกิริยาและวาจาดูหมิ่นผู้อื่น  แสดงความเคารพ ให้เกียรติผู้ฟังและผู้ที่กล่าวอ้างถึง โดยให้ความสนใจ ผู้ฟังทั้งที่เป็นการพูดคุยสนทนา และการพูดในที่ชุมชน ในการพูดถึง บุคคลอื่นที่เรากล่าวอ้างคาพูดหรือความคิดของท่าน ก็ควรจะให้เกียรติ เจ้าของคาพูดนั้น โดยประกาศชื่อด้วยความเคารพ มิใช่กล่าวอ้างขึ้น อย่างเลื่อนลอย หรือกล่าวเอาความคิดนั้นว่าเป็นของตนเอง  มีความรับผิดชอบต่อการพูด นักเรียนต้องไตร่ตรองก่อนที่จะพูดอะไร ออกไป เพื่อให้การพูดนั้นเป็นผลดีและเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น
  14. 14. ความมีน้าใจและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความ มีน้าใจไมตรีที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความมีน้าใจเป็นเรื่องที่ ทุกคนทาได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทองมากมาย เพียงแต่แสดงความเมตตา กรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ โดยการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ก็เป็นการ แสดงน้าใจได้ เช่น การพาเด็กหรือ ผู้สูงอายุข้ามถนน หรือการสละที่นั่ง บนรถโดยสารให้หญิงมีครรภ์ หรือแม้แต่การมีส่วนร่วมช่วยกันพัฒนา สังคมของเราให้ดีขึ้นก็ได้ เป็นคนที่มีน้าใจและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นก็ย่อม เป็นที่รัก และที่ชื่นชมของผู้อื่นเสมอ นอกจากนี้ยังช่วยให้อยู่ร่วมกันใน สังคมได้อย่างมีความสุข
  15. 15. ความมีน้าใจและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดถึงจิตใจของคนอื่น และแสดงต่อผู้อื่น เหมือนที่เราต้องการให้คนอื่นแสดงต่อเรา และทาดีต่อคนอื่นโดยไม่หวัง ผลตอบแทน ไม่ว่าความดีนั้นจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยหรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็ ตาม  ควรเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ และไม่หวังว่าคนอื่นจะต้องมาให้เราเสมอ  ควรแสดงน้าใจกับคนรอบข้าง เช่น เมื่อเวลามีโอกาสได้ไปเที่ยวในที่ไกล หรือใกล้ก็ตามควรมีของฝากเล็กๆน้อยๆติดมือมาถึงคนที่เรารู้จักและ ญาติมิตรของเรา นั่นเป็นการแสดงความมีน้าใจต่อกัน เพราะแม้อาจจะ เป็นแค่สิ่งเล็กน้อย แม้จะไม่ต้องใช้เงินทองมากมาย แต่สิ่งที่ได้มันมีค่า มากกว่านั้น นั่นคือน้าใจที่ผู้อื่นได้รับจากเรา
  16. 16. ความมีน้าใจและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ควรเสียสละกาลังทรัพย์ สติปัญญา กาลังกาย และเวลาให้แก่ผู้ เดือดร้อน เท่าที่เราพอจะทาได้โดยไม่ถึงกับต้องลาบากแก่ผู้อื่นให้กับผู้ที่ ต้องการพึ่งพาอาศัยเรา โดยเป็นการกระทาที่ไม่หวังผลตอบแทน  ควรมีนิสัยเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อเพื่อนบ้าน เช่น ไปร่วมงานพิธี ต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ หรืองานอื่นๆ เท่านั้นเขาก็จะเห็นว่าเรา เป็นคนมีน้าใจ และจะสามารถเชื่อมไมตรีจิตต่อกันได้  ควรให้ความรักแก่คนอื่นๆ และให้ความร่วมมือเมื่อเขาต้องการให้ ช่วยเหลือ และช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถด้วยความจริงใจที่เรา มี
  17. 17. การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มากที่มีความแตกต่างกันในหลายด้าน อาจมีการ กระทบกระทั่งกันเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ถึงแม้ปัญหาที่เกิดจากความแตกต่าง ในสังคมเดียวกันจะมีอยู่ทั่วไป แต่หากเรารู้จักเรียนรู้ความแตกต่าง การ เคารพและยอมรับซึ่งความแตกต่างของกันและกัน การมีน้าใจช่วยเหลือซึ่ง กันและกัน มีความไว้ใจและมีความปรารถนาดีต่อกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ส่วนสาคัญที่ช่วยทาให้ประชาชนทุกชาติพันธุ์ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมี ความสุข

บทที่4 เรื่องที่1 ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

1. บทนำ: ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในเชียตะวันออกเฉียงใต้

 ก่อนที่จะมีมนุษย์เกิดขึ้นก็มีความหลากหลายในธรรมชาติเป็นพื้นฐานมาก่อน มนุษย์ก็เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ในที่แต่ละแห่งมนุษย์ก็ย่อมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันและอยู่ร่วมอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ จึงมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เรียกว่าเป็นความหลากหลายทางชีวภาพ กับความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกันเพราะว่าชีวิตต้องเกิดขึ้นในที่ต่างๆ

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2004 มีประชากรประมาณ 600 ล้านคน เกาะชวา คือเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และศาสนา รวมทั้งมีชาวจีนอพยพมาเป็นจำนวนมาก แต่ละประเทศพบว่า มีความหลากหลาย ทางเชื้อชาติ หลากหลายศาสนา มีทั้งไทย จีน ญวน ลาว เขมร มอญ มาลายู ศาสนาก็มีทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์

ศาสนาพุทธเป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนไทย ลาว พม่า เวียดนาม ในขณะที่ ศาสนาอิสลามก็เป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนของคนมาเลเซีย อินโดนีเซีย บูรไน และศาสนาคริสต์เป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนฟิลิปินส์ ซึ่งหากแบ่งตามสถิติจะได้ดังนี้

บรูไน: อิสลาม (67%) พุทธมหายาน (13%) คริสต์ (10%) ภูตผี และอื่นๆ (10%)
กัมพูชา: พุทธหินยาน (93%) ภูตผี และอื่นๆ (7%)
ติมอร์ตะวันออก: คริสตศาสนา (95%)
อินโดนีเซีย: อิสลาม (81%) คริสต์ พุทธ ฮินดู และอื่นๆ
ลาว: พุทธหินยาน (60%) 
Animism และอื่นๆ (40%)
มาเลเซีย: อิสลาม (61%) พุทธมหายาน (20%) คริสต์ ฮินดู และอื่นๆ
พม่า: พุทธหินยาน (89%) อิสลาม (4%) คริสต์ (4%) ฮินดู (1%) และ ภูตผี
ฟิลิปปินส์: คริสต์ (92%) อิสลาม (5%) พุทธ และอื่นๆ (3%)
สิงคโปร์: ศาสนาตามประเทศจีน (พุทธมหายาน เต๋า และ ขงจื๊อ) (51%) อิสลาม (15%) คริสต์ (14%) ฮินดู (4%) อื่นๆ (16%)
ไทย: พุทธหินยาน (95%) อิสลาม (3%) ฮินดู คริสต์ และ ฮินดู
เวียดนาม: พุทธมหายาน (50%) ขงจื๊อ และ คริสต์ (50%)

ที่ใดที่มีการเข้าถึงความหลากหลายทางธรรมชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมย่อมจะมีสันติสุขหากมีการจัดการทางวัฒนธรรมที่ดี แต่ที่ไหนที่มีความขัดแย้งก็เกิดความรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างประเทศพม่าเป็นที่อยู่ของชนหลายเผ่า ที่อพยพมาอยู่รวมกันที่ลุ่มแม่น้ำอิรวดี ก็เกิดการกระทบกระทั่งขัดแย้งกันมาเรื่อยๆ เคยมีการรวมตัวกันแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ มีการรวมตัวกันยากมาก มีความขัดแย้งเรื้อรังมาเรื่อยจนถึงบัดนี้ ที่มาเลเซียและอินโดนีเซียเคยมีการทะเลาะกันระหว่างชาวมลายูกับชนเชื้อสายจีน [1]

โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "สงครามวัฒนธรรม" (Culture Wars) [2] หรือ"ความขัดแย้งระหว่างระหว่างอารยธรรม" (The Clash of Civilizations )ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ แบบที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ความขัดแย้งระหว่างโลกทัศน์ที่แตกต่างทั้งสองนี้ กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมโลกทั้งมวล รวมทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "การปะทะระหว่างอารยธรรม"ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยอคติ และความคลางแคลงใจระหว่างศาสนาและเชื้อชาติ ฮันติงตัน [3]เชื่อว่า "ความแตกแยกระดับมหาภาคระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และที่มาของความขัดแย้งต่างๆ จะมาจากด้านวัฒนธรรม การปะทะกันระหว่างอารยธรรม จะครอบงำการเมืองโลก ... การปะทะที่สำคัญที่สุดจะเป็นการปะทะกันระหว่างอารยธรรมตะวันตก กับ "อารยธรรมที่มิใช่ตะวันตก" แต่เขาใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ในบทความและหนังสือบรรยายความขัดแย้ง ทั้งที่เกิดขึ้นจริงและมีแนวโน้มว่าจะเกิด ระหว่างอารยธรรมที่เขาเรียกว่า ตะวันตกข้างหนึ่ง และอารยธรรม "อิสลามและขงจื๊อ" อีกข้างหนึ่ง. ในแง่รายละเอียด ฮันติงตันให้ความสนใจอย่างไม่เป็นมิตรเอามากๆกับอิสลาม มากกว่าอารยธรรมอื่นใดทั้งหมด ซึ่งภาพสะท้อนดังกล่าวนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นแนวคิดการจัดการวัฒนธรรมบนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซื่งผู้เขียนมองถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมว่าเป็นธรรมชาติหากมีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหาให้ตกจึงมีความจำเป็นในการติดอาวุธให้สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เรื่องที่2 การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ

การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ
        การอยู่ร่วมกันในสังคม สมาชิกทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆ ของสังคมร่วมกัน เพื่อการพัฒนาสังคมและการอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ
        สำหรับนักเรียนก็สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ได้เช่นกัน เริ่มจากการมีส่วร่วมในกิจกรรมในโรงเรียน เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียนให้เจริญก้าวหน้า
1.การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจต่อกิจกรรมของห้องเรียนและโรงเรียน
        โรงเรียนเป็นสถานศึกษาที่ให้ความรู้และการทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ ตัวอย่างกิจกรรมในโรงเรียน เช่น กิจกรรมพัฒนาโรงเรียน กิจกรรมทางวิชาการ เป็นต้น
        การปฎิบัติตนมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ ต่อกิจกรรมของห้องเรียน และโรงเรียน
  1. ต้องตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบของตนต่อห้องเรียนและโรงเรียน
  2. สื่อสารด้วยภาษาเชิงบวก สร้างสรรค์ เพื่อความร่วมมือลดการเผชิญหน้า ที่มาจากความขัดแย้ง
  3. แสดงออกต่อกันอย่างกัลยาณมิตร
  4. ยอมรับฟังความคิดเห็น เหตุและผลจากรอบด้าน เพื่อหาแนวทางการทำงาน
  5. ร่วมกันรับผิดชอบผลของการดำเนินกิจกรรมร่วมกัน
การปฎิบัติตนดังกล่าว ส่งผลให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆมากขึ้น เกิดความรักสามัคคีในหมู่เพื่อนสมาชิกของห้องเรียนและโรงเรียน
2.การตรวจสอบข้อมูล
        การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและการสื่อสาร ทำให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วจากหลายช่องทาง เช่นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ อินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อมูลที่นำเสนอนั้นอาจเป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ได้
        ดังนั้นนักเรียนจะต้องมีวิจารณญาณในการเลือกรับ และตรวจสอบข้อมูลจากสื่อต่างๆ เพื่อการรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง
        หลักการตรวจสอบข้อมูล
  1. ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล
  2. ตรวจสอบการบันทึกข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน
  3. ตรวจสอบคุณภาพและข้อเท็จจริงของข้อมูล โดยการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายแหล่ง
  4. มีวิจารณญาณในการรับข้อมูล และแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริง ข่าวลือ ข้อมูลที่เล่าต่อๆกันมา
        การตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบจะทำให้ได้ข้อเท็จจริง ช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจและสร้างความโปร่งใสในการปฎิบัติงาน